วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะเขือเทศ

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะเขือเทศ
              สวัสดีค่ะ เราจะมาทำความรู้จักกลับมะเขือเทศที่มีประโยชย์มากมายกันนะคะ
มะเขือเทศนั้นเป็นที่รู้กันดีถึงเรื่องความงามและเรื่องผิวพรรณแต่ สรรพคุณของมะเขือเทศ นั้นก็จัดเป็นสมุนไพรชั้นดีอีกชนิดหนึ่ง ที่ช่วยในการรักษาบ้างโรคได้เป็นอย่างดี นั้นเรามาทำความรู้จักกับ สรรพคุณของมะเขือเทศ และ ประโยชน์ของมะเขือเทศ ให้มากขึ้นกันดีกว่าค่ะ

สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะเขือเทศ

                                      ภาพจาก  www.4tripmetrolink.com


          ใบหน้าเปล่งปลั่งสดชื่น
        กรดผลไม้ในมะเขือเทศมีสรรพคุณช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายให้หลุดลอกทำให้ผิวเปล่งปลั่ง นำมะเขือเทศขนาดปานกลาง 1 ผลไปบดให้ละเอียดด้วยเครื่องปั่น กรองด้วยผ้าขาวบางคั้นเอาน้ำเติมนมข้นจืดในปริมาณเท่ากับน้ำมะเขือเทศที่ได้นำส่วนผสมที่ได้มาลูบไล้ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก

       ล้างพิษด้วยน้ำมะเขือเทศ
         มะเขือเทศอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินเอ ซี และอี ซึ่งช่วยเสริมสร้างพลังงานและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย นำมะเขือเทศหั่นเป็นชิ้น ๆ จำนวน 450 กรัม น้ำมะนาว 2 ช้อนชาใส่ในเครื่องปั่น เติมเกลือและพริกไทยอีกประมาณหยิบมือปั่นส่วนผสมทั้งหมดจนเข้ากันดื่มเป็นประจำทุกเช้าจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

          
ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
          ใครจะคิดบ้างว่าการกินซอสมะเขือเทศช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ มะเขือเทศช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ปลายลำไส้ใหญ่และปลายทวารหนักได้ถึง 60% และยังช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งที่อัณฑะในเพศชาย มีหลักฐานระบุว่า มะเขือเทศปรุงสำเร็จรูปมีไลโคปีน (Iycopene) ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นอย่าลืมให้ซอสมะเขือเทศเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องปรุงอาหารของคุณ รู้อย่างนี้แล้วก็อย่ากินทิ้งขว้างเหยาะให้เกลี้ยงไม่ให้ติดเหลือก้นขวด

        ลดการบวม
          โปแทสเซียมจำนวนมากในมะเขือเทศช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในเซลล์และเนื้อเยื่อลดบวมตามร่างกายหรือที่เรียกว่าบวมน้ำ บรรเทาอาการอักเสบบวม อย่าลืมรับประทานสลัดที่มีมะเขือเทศเป็นอาหารมื้อต่อไปเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร

  ภาพจาก : www.webboard.ladytips.com 
              








สรรพคุณของมะละกอ

สรรพคุณของมะละกอ
   สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันจะมาบอกสรรพคุณของมะละกอ ที่หลายคนอาจจะมองข้าม มะละกอเป็นพืชท้องถิ่นที่มีประโยชย์มากมาย นับว่าเป็นพืชมหัศจรรย์เลยทีเดียวล่ะค่ะ  เราจะมาทำความรู้จักกันเลยนะคะ

สรรพคุณของมะละกอ

ภาพจาก  :   www.oknation.net  

       สรรพคุณของมะละกอ สรรพคุณของมะละกอมีมากมายนัก ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้
1. แก้อาการขัดเบา ใช้รากสด (1 กำมือ) 70-90 กรัม รากแห้ง 25-35 กรัม หั่นต้มกับน้ำ กรองดื่มเฉพาะน้ำ วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา(75 มิลลิลิตร) ดื่มก่อนอาหาร
2. เป็นยาระบายอ่อนๆ การกินเนื้อมะละกอสุก ช่วยเป็นยาระบายอ่อนๆ เพราะไปช่วยเพิ่มจำนวนกากไยอาหาร ดังนั้นเนื้อผลสุกมะละกอจะช่วยระบายอ่อนๆ แก้ท้องผูก
สรรพคุณ มะละกอ :
ผลสุก - เป็นมีสรรพคุณป้องกัน หรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบาย
ยางจากผลดิบ - เป็นยาช่วยย่อยโปรตีน ฆ่าพยาธิได้
รากมะละกอ - ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา
ใช้เป็นยาระบาย :ใช้ผลสุกไม่จำกัดจำนวน รับประทานเป็นผลไม้

เป็นยาช่วยย่อย :
1. ใช้เนื้อมะละกอดิบไม่จำกัด ประกอบอาหาร เช่น ส้มตำ แกง เป้นผักจิ้ม
2. ยางจากผลดิบ หรือจากก้านใบ ใช้ 10-15 กรัม หรือถ้าเป็นตัวยาช่วยย่อย เพราะในยางมะละกอมีสารที่เรียกว่า Papain
เป็นยากัน หรือแก้โรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟัน: ใช้มะละกอสุกรับประทานเป็นผลไม้ ให้วิตามินซีสูง
เท้าบวม: เอาใบมะละกอสดตำให้แหลกผสมกับเหล้าขาว ใช้พอกเท้าที่บวมลดอาการบวมลงได้
แก้เคล็ดขัดยอก: ใช้รากมะละกอสดตำให้แหลกผสมเหล้าโรงพอก
โดนหนามตำหรือหนามหักคาเนื้อใน: ให้บ่งปากแผลเปิดออก เอายางมะละกอดิบใส่หนามจะหลุดออก
คันเพราะพิษของหอยคัน: ให้ใช้ยางมะละกอดิบทาเช้า-เย็นจนหาย
เมื่อมีอาการปวดตามข้อและหลัง: รับประทานมะละกอสุกเป็นประจำป้องกันและบำบัดโรคปวดข้อปวดหลังได้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง ใช้รากมะละกอตัวผู้แช่เหล้าขาวให้ท่วมยาไว้ 7 วัน และกรองเอาน้ำใช้ทาแก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อเปลี้ยอ่อนแรง ลดอาการปวดบวม ให้เอาใบมะละกอสดย่างไฟหรือลวกกับน้ำร้อนแล้วประคบบริเวณที่ปวด หรือตำพอหยาบห่อด้วยผ้าขาวบางทำเป็นลูกประคบ
ถ้าโดนตะปูตำเป็นแผล: ให้เอาผิวลูกมะละกอดิบตำพอกแผล เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง แผลน้ำร้อนลวก ใช้เนื้อมะละกอดิบต้มให้สุกจนเปือย ตำพอกที่แผล แผลพุพอง ใช้ใบมะละกอแห้งกรอบบดเป็นผง ผสมกับน้ำกะทิพอเหนียวข้น ใช้พอกหรือทาที่แผลวันละ 2-3 ครั้ง
                                                    ภาพจาก : www.t-how.com
    


·         แหล่งข้อมูล  :
·         ข้อมูลจาก http://www.philippineherbalmedicine.org/papaya.htm
·         ข้อมูลจาก http://yathai.blogspot.com/2010/09/blog-post_10.html

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัด บทที่ 3 การรู้สารสนเทศ


แบบฝึกหัด

บทที่ 3  การรู้สารสนเทศ                                กลุ่มที่เรียน   2
รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน  รหัสวิชา  0026  008
ชื่อ-สกุล    นางสาวกัลยาณี กฤษเงิน    (TM)          รหัส   56011010033




1. ข้อใดเป็นความหมายที่ถูกต้องที่สุดของการรู้สารสนเทศ
   กความสามารถในการกลั่นกลอง และประเมินค่าสารสนเทศที่หามาได้
   ขความสามารถในการตัดสินใจใช้สารสนเทศรูปแบบต่างๆ
   ค. ความสามารถของบุคคลในการสืบค้นและพัฒนาสารสนเทศ
   ง วามสามารถของบุคคลในการเข้าถึง ประเมิณและใช้งานสารสนเทศ
2. จากระบวนการของการรู้สารสนเทศ ทั้ง ประการ ประการไหนสำคัญที่สุด
   ก. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ
   ขความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
   คความสามารถในการประมวลผลสารสนเทศ
   ง. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของผู้รู้สารสนเทศ
   กสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ 
   ขสามารถใช้สารสนเทศในการดำเนินชีวิต
   คชอบใช้คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม
   งใช้คอมพิวเตอร์ในการแสวงหาสารสนเทศ
4. ข้อใดไม่ใช่ความสำคัญของการรู้สารสนเทศ
   ก. โลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเน้นวัตถุนิยมมากชึ้น
   ขช่วยให้บุคคลประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต
   ค. สารสนเทศมีการเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะเข้าถึง
  งช่วยบุคคลเป็นผู้มีศักยภาพในการเรียนรู้ตลอดชีวิต
5. ข้อใดเป็นการเรียงลำดับขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้สารสนเทศที่ถูกต้อง
   1. ความสามารถในการประมวลสารสนเทศ
   2. ความสามารถในการประเมินสารสนเทศ
  3. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสนเทศอย่างมีประสิทิภาพ
  4. ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
  5. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ
. 1-2-3-4-5       . 2-4-5-3-1        . 5-4-1-2-3         . 4-3-5-1-2

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ สรรพคุณของกล้วยหอม

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ สรรพคุณของกล้วยหอม



สรรพคุณของกล้วยหอม มีดังนี้
    
 1. ลดอาการซึมเศร้า
     มีการศึกษาทดลองกับกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า เมื่อให้รับประทานกล้วยหอมแล้ว ทำให้รู้สึกดีขึ้น ทั้งนี้ในกล้วยหอมมีสาร Tryptophan เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ร่างกายสามารถแปลงเป็น Serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุข
     
     2. PMS. (Premenstrual syndrome)
      เป็นอาการของคุณผู้หญิงในช่วงระหว่างก่อนมีหรือมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดแปรปรวนง่าย รวมไปถึงอาการปวดหัว ปวดท้องหากรับประทานกล้วยหอมก็จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเหล่านี้ได้

     3. โรคโลหิตจาง
     ในกล้วยหอมจะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง ฮีโมโกลบิน ให้กับเม็ดเลือดแดง จะช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจางได้

     4. ช่วยลดความดันโลหิต
     กล้วยหอมมีสารอาหารทั้งวิตามินและเกลือแร่อยู่หลายชนิด เกลือแร่ที่สำคัญอีกตัวหนึ่งคือ โพแทสเซียม จากการวิจัยยืนยันแล้วว่าโพแทสเซียมในผลไม้ สามารถช่วยลดความดันโลหิตให้กับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงได้

     5. เพิ่มพลังสมอง
     สารอาหารที่อยู่ในกล้วยหอมสามารถกระตุ้นความตื่นตัวให้กับสมองได้ จากการวิจัยเด็กนักเรียนในประเทศอังกฤษกลุ่มหนึ่งพบว่า การรับประทานกล้วยหอมเป็นอาหารเช้าก่อนเข้าห้องสอบ จะช่วยให้สมองทำงานได้อย่างเต็มที่ และทานอีกในช่วงกลางวัน จะทำให้รู้สึกสดชื่นและตื่นตัวได้

     6. ลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดสมอง
     การรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมจะช่วยลดภาวะจากการเป็นโรคหลอดเลือด สมองได้ ดังนั้นกล้วยเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

     7. ลดการเกิดก้อนนิ่วในไต
     บางครั้งแคลเซียมจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะเรามาก ทำให้ไตทำงานหนักจะอาจะเกิดเป็นก้อนนิ่วได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมอย่างกล้วยหอมจะช่วยให้ลดการเกิด นิ่วในไตได้
    
     8. ลดการเกิดแผลในกระเพาะและลำไส้
     กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่มีใยอาหารอยู่มาก ใยอาหารเหล่านี้จะไปช่วยให้ลำไส้เล็กย่อยอาหารได้ดีขึ้น รวมถึงยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหารให้ลดการระคายเคืองของกรดต่าง ๆ ไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะ นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการท้องผูกอีกด้วย

     9. ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง
     ในกล้วยหอมจะมีสารลดกรดธรรมชาติ การรับประทานกล้วยหอมจึงสามารถแก้อาการดังกล่าวได้

     10. กล้ามเนื้อเป็นตะคริว
     คนที่กล้ามเนื้อเป็นตะคริวนั้นส่วนหนึ่งมาจากการขาดโพแทสเซียม หรือมีโพแทสเซียมในร่างกายต่ำ การทานกล้วยหอมเป็นประจำจะช่วยลดอาการดังกล่าวได้

     11. ระบบประสาท
     ในกล้วยหอมนอกจากอุดมไปด้วยโพแทสเซียมแล้วยังมีวิตามินบีอยู่อีกมาก วิตามินบีจะช่วยเรื่องระบบประสาทในร่างกาย และการทำงานของสมองให้สมดุล


   


  ที่มา : www.thaifruit4you.com
           -http://guru.sanook.com/pedia/topic/      %E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1/

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผักและผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อผิวของเรา^^

ผักและผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อผิวของเรา





 12 สูตรสวย ด้วยผักและผลไม้ใกล้ตัว
    ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
                  


   ผัก ผลไม้ ไข่แดง น้ำผึ้ง นม และสิ่งที่ส่วนใหญ่กินได้เหล่านั้นอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ โปรตีน น้ำตาล และสารธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ และในประเทศไทยยังมีผลไม้มากมาย และมีผลไม้ตามฤดูกาลต่างๆ

การใช้สมุนไพรสำหรับผิวหน้ามีหลักการง่ายๆ ดังนี้
- ต้องอยู่บนพื้นฐานของความสะอาด
- สมุนไพรสดใหม่มีคุณภาพดี มีการย่อยขนาดจนละเอียด ไม่มีการระคายเคืองต่อผิวหนัง
- เป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัย จำง่ายๆ ก็คืออะไรที่กินได้ (เช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ) นั้นสามารถใช้เป็นเครื่องสำอางได้
- ต้องเชื่อมั่นธรรมชาติของผิวหนังที่มีกลไกดูแลตัวเองอยู่แล้ว ต้องรักษากลไกนั้นไว้นานๆ
   
ข้อควรรู้เกี่ยวกับผิวหนัง
ผิวหนังมีหน้าที่ห่อหุ้มอวัยวะภายใน มีกลไกในการป้องกันผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย  ควบคุมอุณหภูมิ ควบคุมการซึมผ่านของสารต่างๆ ผ่านโครงสร้างของผิวหนัง รูขุมขน ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ
                  
ผิวพรรณที่ดีควรมีความชุ่มชื้น เต่งตึง ไม่แห้งผาก ผิวพรรณที่แห้งผากจะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย เป็นฝ้า เป็นโรคทางผิวหนังได้ง่าย ซึ่งผิวพรรณจะเต่งตึงได้จาก ๓ องค์ประกอบได้แก่ น้ำ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเซลล์ถึงร้อยละ ๙๕ สารชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ซึ่งผิวหนังสร้างขึ้นและ น้ำมัน ซึ่งผิวหนังจะมีกลไกการสูญเสียน้ำโดยมีการสร้างไขมันธรรมชาติปกป้องไม่ให้น้ำระเหยไปจากผิวหนัง (ครีมหรือไขมันตามธรรมชาติไม่ได้ไปเพิ่ม) การล้างหน้าด้วยน้ำร้อน การล้างหน้าบ่อย เกินความจำเป็น การล้างหน้าด้วยสบู่ที่มีความสามารถในการทำความสะอาดสูงๆ ล้วนทำให้ไขมันและสารที่ให้ความชุมชื้นตามธรรมชาติสูญเสียไป
                  
สมุนไพรที่ใช้เพื่อความงามของผิวหน้า

ว่านหางจระเข้ Aloe barbadensis Mill.
ป้องกันผิวแห้ง ทำให้เรียบลื่น เพิ่มความชุ่มชื้นต้านการอักเสบ ป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต
ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่ใช้เป็นเครื่องสำอาง
                  
ใบว่านหางจระเข้มีน้ำเมือก และวุ้นมีสารสมาน    ผิว ช่วยลอกผิวหนังที่หยาบแห้งและเกิดผิวหนังใหม่     ที่นุ่มนวลขึ้นมาแทน สารนี้เป็นสารช่วยย่อยมีชื่อว่า     คาร์บอกซีเพปทิเดส (carboxypeptidase) และสารพวกสารเมือก (mucilage) สารช่วยย่อยตัวนี้จะมีฤทธิ์ลดการเจ็บปวด การอักเสบบวมของแผล ส่วนสารอะล็อก-ทินเอ (aloctin A) เป็นไกลโคโปรตีน จะไปช่วยทำให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วถูกทำลายไป และจะเพิ่มปริมาณของเซลล์ที่เกิดมาใหม่ให้มากขึ้น จึงทำให้แผลหายเร็ว
วุ้นจากว่านหางจระเข้ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นในผิวหนังชั้นนอกได้จากสารเมือก และสารโพลีแซ็กคาไรด์
     
การเตรียมว่านหางจระเข้

ควรใช้ว่านหางจระเข้อายุ ๑ ปีขึ้นไป เลือกใบล่างสุด ปอกเปลือกออกใช้ส่วนที่เป็นวุ้นใสๆ ล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด วิธีล้างยางออกให้หมดต้องนำใบหางจระเข้ที่เพิ่งตัดออกมายังไม่ต้องปอกเปลือก ให้นำทั้งใบไปแช่น้ำจนน้ำยางสีเหลืองไหลออกมาจนหมด จึงนำไปล้างน้ำอีกครั้งแล้วจึงค่อยปอกเปลือก โดยฝานลึกๆ เอาแต่วุ้นข้างในแล้วนำวุ้นมาล้างอีกครั้งหนึ่ง
การใช้ว่านหางจระเข้
ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ทาบริเวณที่เป็นสิว จะทำให้สิวยุบตัว และไม่เป็นแผลเป็น
ใช้เจลจากใบสดๆ ตัดเป็นชิ้นขนาดพอดีกับ   เปลือกตา วางทับบนเปลือกตารักษาผิวบริเวณดวงตา บวมช้ำ
ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ล้วนๆ ทาที่ใบหน้าทิ้งไว้เพื่อบำรุงผิว (สำหรับคนหน้าแห้งอาจจะผสมกับครีมทาหน้าทั่วไปก็ได้) ซึ่งจะช่วยแก้ไขรอยหมองคล้ำ ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ลบรอยเหี่ยวย่น ใช้เป็นประจำจะลดรอยแผลเป็นจากสิว  รักษาฝ้า จุดด่างดำบนใบหน้า
ใช้ทาบนผิวหน้าในลักษณะของโทนเนอร์เพื่อป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต หรือเป็นรองพื้นสำหรับคนที่ผิวมันซึ่งทำให้แต่งหน้าลำบาก ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ทาให้ทั่วใบหน้า เสร็จแล้วแต่งหน้าตามปกติ ทำให้เครื่องสำอางบนใบหน้าไม่ลบเลือนง่าย
ใช้พอกหน้าเพื่อแก้ปัญหาผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง โดยใช้ว่านหางจระเข้ ๓ ส่วน น้ำผึ้ง ๑ ส่วน น้ำมะนาว ๑ ส่วนผสมให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ ๒๐ นาที จึงล้างออก จะช่วยสมานรูขุมขนและทำให้ผิวหน้านุ่มเนียนขึ้น
ใช้ทำเป็นครีมล้างหน้า ครีมพอกหน้า เช่น ใช้วุ้น ว่านหางจระเข้ ผสมน้ำนม ทิ้งไว้สัก ๑๐-๑๕ นาทีแล้ว  ล้างออก บำรุงผิว ลดการเกิดสิว หรือใช้วุ้นว่านหางจระเข้ ร่วมกับสมุนไพรตัวอื่น เช่น ว่านหางจระเข้ ๖ ส่วน บัวบก ๒ ส่วน รำข้าวสาลี ๒ ส่วน นม ๐.๕ ส่วน น้ำผึ้ง ๐.๕  ส่วน ซึ่งแล้วแต่สภาพผิว ถ้าผิวแห้งก็ใส่นมมาก ถ้า    ผิวมันก็ลดปริมาณนมแล้วเพิ่มปริมาณน้ำผึ้ง  นำส่วนผสมมาปั่นผสมกัน พอกหน้าทิ้งไว้สัก ๑๐-๑๕ นาที     นวดคลึงเบาๆ ผิวหน้าจะสดใส ลบรอยแผลเป็นและ   จุดด่างดำ ให้พอกสม่ำเสมอสัปดาห์ละประมาณ ๑ ครั้ง

มะเขือเทศสุก Lycopersicon esculentum Mill.
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ทำให้หน้าขาวขึ้น
น้ำคั้นจากผลมะเขือเทศมีวิตามินหลายชนิด จึงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นและมีสารกลูโคอัลคาลอยด์ ชื่อโทเมทีน (tomatine)  เป็นสารที่ออกฤทธิ์สมานแผล นอกจากนั้น มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ช่วยล้างผิวหน้าให้สะอาดนุ่มนวล ปรับสภาพผิวแห้งกร้าน และคืนสภาพผิวชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี

การเตรียมมะเขือเทศ
สามารถใช้มะเขือเทศได้ทั้งลูกโดยไม่ต้องปอกเปลือก

การใช้มะเขือเทศ
ฝานมะเขือเทศวางบนใบหน้าสักครู่  จะช่วยทำให้ใบหน้าสะอาด  และดูเต่งตึงเปล่งปลั่งขึ้น
มะเขือเทศปั่นผสมกับข้าวโอ๊ตหรือรำข้าว พอกหน้า ทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออก
เนื้อมะเขือเทศสุกบดละเอียด ลูบไล้ปลายหางตาจะลดการเหี่ยวย่น ป้องกันการเกิดริ้วรอยตีนกา ต้องทำทุกวันจึงจะเห็นผล
มะเขือเทศสุกบดละเอียด ผสมน้ำนมสด เป็น beauty mask พอกหน้าทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออก พอกเป็นประจำจะทำให้ผู้ที่มีหน้าดำเป็นจุดๆ ค่อยๆ ขาวขึ้น ช่วยทำให้ผิวหน้าสะอาดขึ้น

ฝรั่ง Psidium guajava Linn.
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้เซลล์แข็งแรง ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ สมานผิว
ฝรั่งเป็นผลไม้ที่สตรีในหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกนิยมใช้เป็นเครื่องสำอางทาผิวหน้า โดยที่ฝรั่งมีโพแทส-เซียม น้ำตาล และกรดอะมิโนที่สามารถดึงน้ำให้อยู่ชั้นบนของผิวหนัง จึงทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นขึ้น นอกจากนี้ ฝรั่งยังมีวิตามินสูงที่สำคัญคือวิตามินบี ๒  ซึ่งถือว่าเป็นวิตามินเพิ่มพลัง ซึ่งจำเป็นในการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเซลล์ รวมทั้งมีวิตามินบี ๕ ซึ่งเป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเซลล์เช่นกัน ฝรั่งยังสามารถป้องกันผิวหน้าไม่ให้ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระและเพิ่มการสร้างเซลล์ใหม่จากการที่ในฝรั่งมีวิตามินเอ วิตามินซี รีดิวซิ่งชูการ์ (reducing sugar) แมกนีเซียม และทองแดง

การเตรียมฝรั่ง
เลือกฝรั่งที่สดและไม่สุกจนเกินไป เอาเฉพาะส่วน ที่เป็นเนื้อ ไม่ใช้เมล็ด ควรหั่นเป็นชิ้นเล็กก่อนปั่น และต้อง เติมน้ำลงไปจำนวนหนึ่งทุกครั้งในการปั่น เพราะฝรั่งมีน้ำอยู่น้อย

การใช้ฝรั่ง
เนื้อฝรั่งหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ๑ ถ้วย น้ำ ๑_๒ ถ้วย น้ำผึ้ง  _๔ ถ้วยปั่นจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ ๑๐-   ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดทำทุกวันก่อนเข้านอน หน้าจะสดใส เกลี้ยงเกลาและนวลเนียนขึ้น

แตงกวา Cucumis sativusLinn. 
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น เพิ่มความยืดหยุ่น ลดการบวมแดง สมานผิว
แตงกวาเป็นสมุนไพร เก่าแก่ชนิดหนึ่งซึ่งสาวทั่วโลกใช้เป็นเครื่องสำอางมาอย่างยาวนาน โดยแตงกวาช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น มีสารกลูซิด (glucids) กรดอะมิโน และเกลือแร่ต่างๆ ไปช่วยทำให้เกิดของสารชุ่มชื้นตามธรรมชาติที่ผิวหนังขึ้นมาใหม่
แตงกวายังช่วยทำให้ผิวหนังคงความเยาว์วัย มีความยืดหยุ่นจากการที่แตงกวามีสารซิสทิน (cystin) และเมทิโอนิน (methionin) และยังมีสารโพลีแซ็กคาไรด์ ที่ช่วยทำให้ผิวหนังสดชื่น ต้านการเป็นปื้นแดง ซึ่งจะมีประโยชน์ในการใช้ทาหลังจากไปตากแดดมา เช่น ไปทำนา ไปตีกอล์ฟ เป็นต้น
แตงกวาเป็นสมุนไพรที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าแห้งจากการที่มีคุณสมบัติไปเพิ่มความชุ่มชื้นและเหมาะกับคนที่มีหน้ามันจากคุณสมบัติสมานผิว

การเตรียมแตงกวา
หั่นแตงกวาสดๆ ตามขวางบางๆ วางให้ทั่วใบหน้า
หั่นแตงกวาแล้วปั่นกรองคั้นเอาแต่น้ำเก็บไว้ใช้ทา ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน ๒ วัน
นำแตงกวาปอกเปลือก ๔ ส่วน กลีเซอรีน ๓ ส่วน น้ำ ๑ ส่วน ปั่นเข้าด้วยกัน กรอง เก็บน้ำไว้ใช้ได้ประมาณ ๑ ปี นำสารสกัดแตงกวานี้ไปผสมกับเนื้อครีมหรือโลชัน ประมาณ ๒-๔  ช้อนชาต่อครีมหรือโลชัน ๑๐๐ มิลลิลิตร

การใช้แตงกวา
ใช้แตงกวาสดๆ ฝานเป็นชิ้นบางๆ วางให้ทั่วใบหน้าที่ทำความสะอาดแล้ว ทำบ่อยๆ จะทำให้ใบหน้า ดูผุดผ่อง เปล่งปลั่งขึ้น และยังช่วยรักษาฝ้าบนใบหน้า ได้อีกด้วย
ใช้น้ำแตงกวามาทาใบหน้าเป็นประจำจะช่วยลดจุดด่างดำ รอยฝ้าที่เกิดจากการผจญแสงแดดและมลพิษ ระหว่างวัน และช่วยบำรุงผิว
ใช้แตงกวาสดปั่นละเอียด ๒-๓ ผล ผสมกับน้ำผึ้ง ๑_๔ ถ้วย หรือนมสด ๑_๒ ถ้วย ปั่นให้ละเอียด นำมาพอก   หน้า ทิ้งไว้ ๑๐ นาที แล้วล้างออก ก่อนนอนทุกวัน เหมาะกับคนผิวแห้ง จะทำให้ผิวหน้านุ่มนวลขึ้น 
ใช้แตงกวาปั่นละเอียด ๒-๓ ผล โดยผสมกับไข่ขาวดิบตีจนฟู ๑ ฟอง น้ำมะนาว ๑ ช้อนชา ผสมจนเป็น เนื้อเดียวกัน นำมาพอกทิ้งไว้ ๑๐-๑๕ นาที ลดความมันบนใบหน้าสำหรับคนผิวมัน และยังช่วยกำจัดสิวเสี้ยน ทำให้หน้าเกลี้ยงเกลาขึ้น
ใช้แตงกวาฝานเป็นแว่นแปะที่ดวงตา แตงกวาสดจะมีเอนไซม์ย่อยเซลล์ที่ตายแล้ว ทำให้เซลล์บริเวณรอบดวงตาเย็น การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อลดลง ริ้วรอยน้อยลง
ใช้แตงกวาสดใหม่ทั้งผลปั่นละเอียด ผสมน้ำผึ้งพอเหลว นำมาพอกหน้า ทิ้งไว้สักครู่ และล้างออกด้วยน้ำอุ่น เนื้อแตงกวาจะช่วยย่อยโปรตีนชั้นนอกที่หยาบกร้านและเกรียมแดดให้หลุดออกมาได้ และยังช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นขึ้น ไม่แห้งแตกเป็นขุย

มะม่วง Mangifera indica Linn.
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้เรียบ ลื่น ทำให้ผิวหนังสดชื่น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ
มะม่วงมีวิตามินซีและ reducing glucid สูง จึงช่วยทำให้ผิวหนังสดชื่น ลบรอยเหี่ยวย่นและต้านอนุมูลอิสระ ในมะม่วงยังมีสารที่เป็นน้ำตาลร่วมกับกรดอะมิโน จึงช่วยทำให้เกิดความเรียบลื่น ชุ่มชื้นบนชั้นของหนังกำพร้า วิตามินเอ วิตามินซี และเกลือแร่ที่มีอยู่ในมะม่วงยังช่วยให้กลไกการสร้างเซลล์ใหม่เป็นไปได้ดียิ่งขึ้น

การเตรียมมะม่วง
ปอกเปลือกออก เลือกใช้เฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อ

การใช้มะม่วง
ใช้สำหรับคนเป็นฝ้า นำเนื้อมะม่วงสุกมายีหรือ ปั่น แล้วนำไปพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้จนรู้สึกว่าแห้งจึงล้างออก จะทำให้หน้าขาวและนุ่มนวลขึ้น มะม่วงสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว

บัวบก Centella asiatica L.
สร้างเซลล์ใหม่ ทำให้เซลล์แข็งแรง ลดอาการบวมคั่ง (decogestion) กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อของผิวหนัง
บัวบกเป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงในการรักษาแผลมาอย่างยาวนาน ทำให้แผลหายเร็วและไม่เป็นแผลเป็น โดยการที่บัวบกไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสทินซึ่งเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง จากการที่มีสารพวกไตรเทอร์พีน เช่น asiaticoside, madecassoside,    asiatic, madecassic, madisiatic acids เป็นต้น
                   
นอกจากนี้ ยังมีสารฟลาโวนอยด์เสริมสรรพคุณในการลดการอักเสบ ลดการระคายเคือง สารในบัวบกเหล่านี้ยังทำให้การไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดเล็กๆ ดีขึ้น จึงมีประโยชน์ต่อผิวหนังหลายด้าน เช่น เป็นการทำให้เซลล์ได้รับอาหารมากขึ้น เซลล์แข็งแรงขึ้น ลดอาการบวมคั่ง แก้ปัญหาผิวหนังที่มีลักษณะเป็นผิวส้ม

การเตรียมบัวบก
บัวบกเป็นสมุนไพรที่ขึ้นกับดิน ต้องเลือกตัดเอาเฉพาะส่วนที่เหนือดิน แล้วนำมาล้างให้สะอาด บัวบกมีลักษณะเหนียว ถ้านำไปปั่นในเครื่องปั่นทั้งต้นโดยไม่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนและจะต้องมีน้ำอยู่ด้วย มิเช่นนั้นจะทำให้เครื่องปั่นทำงานหนักและมีปัญหาได้

การใช้บัวบก
ใบบัวบกส่วนที่เหนือดินตัดรากออก ๑ กำมือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ น้ำสะอาด ๒-๓ ช้อนโต๊ะ อาจจะเติมน้ำผึ้งลงไปสัก ๑ ช้อนชา ปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันพอกก่อนเข้านอนทิ้ง ไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด พอกได้ทุกวัน จะทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ สดใส ไร้รอยแผลเป็น

แครอต Daucus carota L.
ทำให้ผิวหนังเรียบลื่น ควบคุมการสร้างไขมันของต่อมไขมัน ทำให้เซลล์แข็งแรง ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ทำให้หน้าขาวขึ้น
แครอตเป็นผักที่มีวิตามินและเกลือแร่สูงมาก ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าแครอตเป็นสมุนไพรผู้พิทักษ์ผิวที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เนื่องจากแครอตมีสารเพกติน กรดอะมิโน ซึ่งเป็นสารอาหารและสร้างฟิล์มบางเพื่อทำให้ผิวเรียบลื่นและสดชื่นทั้งยังมีสารโปรวิตามินเอ และวิตามินซีซึ่งมีประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระ

นอกจากนี้ วิตามินซี วิตามินเอ แมกนีเซียม เหล็ก แมงกานีส ทองแดงซึ่งจำเป็นต่อการสร้างอีลาสทินและคอลลาเจน ส่วนวิตามินในกลุ่มของวิตามินบีและโปร-วิตามินเอจะช่วยในการควบคุมการสร้างไขมันจากต่อมไขมัน แครอตยังช่วยให้หน้าขาวขึ้นจากสารบีตาแคโรทีน

วิธีเตรียมแครอต
ปอกเปลือกออกก่อนที่จะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปปั่น ซึ่งในการปั่นจะต้องมีน้ำอยู่เล็กน้อยให้พอปั่นได้

วิธีใช้แครอต
แครอตหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ๑ ถ้วยผสม น้ำครึ่งถ้วย เพียงสองอย่างหรือเติมน้ำผึ้งแท้ ๑_๔ ถ้วย (สำหรับคนหน้าแห้ง) หรือไข่ขาว ๑ ฟอง (สำหรับคนหน้ามัน) ลงไป ปั่นรวมกันให้ละเอียด พอกทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดทำทุกวันก่อนเข้านอน หน้าจะสดใส เต่งตึงและขาวขึ้น
แครอตต้มสุกนำมาบดให้ละเอียด พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ ๑๕-๒๐ นาที

สับปะรด  Ananas comosus (Linn.) Merr.
กำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว (keratolysis) ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ลดการ อักเสบ
สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าต่อความงามของผิวพรรณจากการที่สับปะรดมีเอนไซม์ papain ช่วยย่อยเซลล์ที่ตายแล้ว ของชั้นผิวหนังให้หลุดออกมา มีประโยชน์ ต่อผู้ที่มีสิวหัวดำอุดตันที่ใบหน้า ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้น สับปะรดยังมีสรรพคุณในการช่วยลดการอักเสบและยังมีวิตามินเอ วิตามินซี ช่วยต้านอนุมูลอิสระและมีเกลือแร่อีกหลายชนิดช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น

การเตรียมสับปะรด
นำสับปะรดมาปอกเปลือกออก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นให้ละเอียด

การใช้สับปะรด
น้ำสับปะรด ๑ ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง ๒ ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด ๓ ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาด พอกให้ทั่วบริเวณใบหน้า ยกเว้นปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ ๑๕-๒๐ นาทีแล้วออก
ใช้น้ำที่คั้นได้จากผลสับปะรด นำมาชโลมผิวหน้า ทิ้งไว้พอแห้งแล้วล้างออก จะทำให้หน้าเนียนนุ่ม เนื่องจากสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวชั้นนอกสุดถูกย่อยและขจัดออกไป

มะขาม Tamarindus indica Linn.
ลดรอยด่างดำบนใบหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหน้าเรียบลื่น ทำให้ผิวหนังสดชื่นลดจุดด่างดำ ฝ้า กระ เพิ่มความชุ่มชื้น ลบรอยเหี่ยวย่น ตำรับความงามที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งพบตำรายาสมุนไพรเขียนด้วยภาษาล้านนาว่า "มะขาม ฝักกระดาน สักกำมือแช่น้ำอุ่น ทาตัวทาหน้า ผิวดำและฝ้าย่อมเสี้ยงไป" (เสี้ยง หมายถึง หมดไป) ที่เป็นเช่นนี้เพราะในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว มะขาม สับปะรด จะมีกรดเอเอชเอ (AHA หรือ alpha hydroxy acid) ซึ่งเป็นกรดอ่อนๆ จะช่วยขัดผิว ลอกผิวด่างดำ และฝ้า
                  
นอกจากนี้ มะขามยังมีกรดทาร์ทาริก (tartaric acid) กรดซิตริก (citric acid) และกรดมาลิก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วย ลบรอยด่างดำบนใบหน้า ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น กำจัดรอย เหี่ยวย่น ทำให้ผิวขาวนวลเนียน ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ขึ้น  แต่มะขามมีข้อได้เปรียบมะนาวและสับปะรดตรงที่มะขาม มีลักษณะเป็นครีมโดยธรรมชาติสามารถใช้ได้ดีกว่า

การเตรียมมะขาม
การใช้มะขามให้ใช้มะขามเปรี้ยวสุก (มะขามหวานใช้ไม่ได้เพราะกรดผลไม้มีน้อย)
น้ำคั้นมะขามเปียกที่ดีมีคุณภาพ ต้องได้จากการ   คั้นมะขามเปียกสดใหม่ และใช้ทันที ถ้าเก็บในตู้เย็นต้องไม่เกิน ๑ สัปดาห์ ถ้าหากจะกวนเก็บไว้ใช้นานๆ ต้องกวนจนเกือบแห้งซึ่งมักจะกวนใส่นมหรือน้ำผึ้งก็ได้

การใช้มะขาม
มะขามเปียก ๑ กำมือ นมสด ๑ ถ้วย น้ำผึ้ง ๑ ช้อนโต๊ะ
นำเนื้อมะขามเปรี้ยวสุก ไม่ต้องแกะเมล็ดปั้นเป็น ก้อนกลม ห่อด้วยผ้าขาวบาง ฟอกขัดตัวเมื่ออาบน้ำ จะทำให้ผิวที่คล้ำด้วยแดด หรือลม เป็นผิวที่นวลผ่อง
น้ำมะขามเปียกผสมน้ำพอเจือจางล้างหน้าเป็น ประจำ ช่วยขจัดความมันบนใบหน้า และสิวให้หลุดออกไปอย่างหมดจด
คั้นน้ำมะขามเปียกพอข้น ทาบริเวณที่เกิดฝ้า อาจพอกไว้แล้วลูบไล้ด้วยมือเบาๆ ครั้งละ ๑๐-๑๕ นาที เช้า เย็น เป็นเวลา ๓ สัปดาห์ จะทำให้ฝ้าด่างดำถูกลบเลือนไปจนหมด สำหรับคนผิวแห้งควรผสมนมสดชนิดจืดลงไปด้วย ไขมันและโปรตีนจากนมสดจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้เป็นอย่างดี
                
ใช้มะขามเปียกที่แกะเมล็ดแล้วขนาดประมาณ ๑ กำมือ นมสด ๑ กล่อง ขยำเข้ากัน กรองด้วยตะแกรง เพื่อเอาซังมะขามออก นำไปเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ พอใกล้งวด เติมน้ำผึ้งลงไป ๑ ช้อนโต๊ะ อาจเติมขมิ้นชันลงไปประมาณ ๑/๔ ช้อนชา (ระวังอย่าใส่มากเกินไปจะทำให้หน้าเหลือง) เคี่ยวต่อจนงวด แต่อย่าให้ข้นเกิน สังเกตว่ายังสามารถแตะขึ้นมาได้ง่าย เสร็จแล้วบรรจุลงในกระปุกสะอาด ถ้าไม่เปิดเลยจะอยู่ได้ประมาณ    ๖ เดือน ใช้ล้างหน้าทุกวันทำให้หน้าขาวขึ้น

กล้วย Musa paradisiacal  L.Var. sapientum O.Ktze
เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ
กล้วยมีสารเมือก เพิ่มความชุ่มชื้น ทั้งยังมีวิตามิน เกลือแร่  โปรตีน อีกหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อผิวหนังในการเพิ่มความชุ่มชื้น ลบรอยเหี่ยวย่น รักษาแผล

การเตรียมกล้วย
ใช้ส่วนที่เป็นเนื้อกล้วยบดหรือปั่น

การใช้กล้วย
ใช้กล้วย ๑ ผล น้ำผึ้ง ๑ ช้อนชาสำหรับคนผิวแห้งหรือน้ำส้มหรือน้ำมะนาว ๑ ช้อนชาสำหรับคนผิวมัน ปั่น ผสมให้เข้ากัน จนละเอียดพอกให้ทั่วหน้า รวมทั้งลำคอ ทิ้งไว้ทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาที จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น เรียบลื่น เต่งตึง ลบรอยเหี่ยวย่น
ใช้กล้วย ๑ ผล ผสมน้ำมันมะกอก ๑ ช้อนชา นำมาปั่น ผสมให้เข้ากัน พอกหน้าจนถึงลำคอ ทิ้งไว้ ๑๕-๒๐ นาที แล้วจึงล้างออก เหมาะกับคนหน้าแห้ง จะทำให้ใบหน้าชุ่มชื้น เต่งตึง ลบรอยเหี่ยวย่น
ใช้กล้วยน้ำว้าสุกปอกเปลือก บดให้เหลว แล้วทาให้ทั่วผิวหน้า ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าสะอาดนุ่ม ชุ่มชื้น

มะนาว Citrus aurantifolia Swing.
ลดความมันบนใบหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ
มะนาวเป็นผลไม้เก่าแก่ชนิด หนึ่งในการเป็นเครื่องสำอาง ใช้เพื่อทำให้ผิวนุ่มขึ้น และใช้เพื่อลดความมัน บนใบหน้า ใช้เป็นโทนเนอร์ สำหรับ คนที่หน้ามัน จากการที่มีกรดผลไม้ทำให้มีความชุ่มชื้นขึ้น ช่วยกำจัดเซลล์ ที่ตายแล้ว และมะนาวยังมีฟลาโว-นอยด์ ทำให้มีการไหลเวียนของเลือด ในหลอดเลือดเล็กดีขึ้น ทั้งยังเพิ่มความชุ่มชื้นในชั้นของผิวหนังชั้นนอก มะนาวยังมีวิตามินซีสูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ โดยทั่วไปแล้วในบ้านเรานิยมใช้น้ำมะนาวเป็นน้ำกระสายยา ร่วมกับการใช้สมุนไพรบำรุงผิวอื่นๆ สำหรับคนผิวมัน

การเตรียมมะนาว
คั้นเอาแต่น้ำมะนาว ควรใช้สดๆ ไม่ควรทิ้งไว้นาน ไม่ควรใช้น้ำมะนาวโดยตรงในการทาผิวหน้า เพราะถ้าใช้เข้มข้น จะทำให้หน้าเหี่ยวย่นได้

การใช้มะนาว
ใช้น้ำมะนาว ๕-๖ หยดลงในน้ำ ๑ แก้ว  ใช้ล้างหน้า จะทำให้ผิวหนังเนียนนุ่ม
ใช้น้ำมะนาว ๑ ช้อนชา น้ำส้มคั้น ๑ ช้อนชา โยเกิร์ต ๓๐ มิลลิลิตร ผสมในอัตราส่วนที่เท่าๆ กันแล้วทาให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ ๑๐-๑๕ นาทีแล้วล้างออก จะทำให้สดใส ลบรอยกระ จุดด่างดำ
ใช้น้ำมะนาว ๑ ช้อนชา ไข่ขาว ๑ ฟอง ดินสอพอง  ๔-๕ เม็ดนำมาผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน พอกหน้าทิ้งไว้  ๑๕-๒๐ นาที เหมาะสำหรับคนที่หน้ามันเพื่อลดความมันบนใบหน้า
ใช้น้ำมะนาว ๑/๒ ช้อนชา ไข่แดง ๑ ฟอง ผิวส้มบด  ๑/๒ ช้อนชา พอกหน้าไว้สัก ๑๐-๑๕ นาที สำหรับคนที่ผิวซีดเซียวจะทำให้ผิวเปล่งปลั่งสดใสขึ้น
ใช้น้ำมะนาวผสมน้ำประมาณร้อยละ ๑-๒ แล้วเอาน้ำมะนาวเจือจางนั้นมาผสมกับน้ำมันมะกอก คนตีแรงๆ เร็วๆ แล้วเติมไข่แดงลงไป ๑ ช้อน เอาไปทาหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ เหมาะสำหรับคนหน้าแห้ง หรือหน้าธรรมดา ส่วนคนผิวมันที่ไม่เหมาะจะใช้ไข่แดงหรือน้ำมันมะกอก ก็ให้ใช้สบู่แทน จะเป็นสบู่เหลวหรือสบู่ก้อนก็ได้ตัดมานิดหน่อย มาตีให้เข้ากับน้ำมะนาวเจือจางใช้ทาแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ แล้วตามด้วยน้ำเย็น

ตำลึง    Coccinia indica Wight & Arn
แก้อักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังสดชื่น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ
ตำลึงอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี เกลือแร่ และสารต้านการอักเสบ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค คนโบราณนิยมใช้สมุนไพรแก้สิวและพอกหน้าเพื่อทำให้ผิวหน้าสดใส ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางในไทยและญี่ปุ่นเริ่มที่จะนำยอดอ่อนและมือเกาะของตำลึงมาเป็นส่วนผสมในครีมบำรุงผิว เพราะเชื่อมั่นในคุณสมบัติพิเศษจากสารธรรมชาติที่มีอยู่ในสมุนไพรชนิดนี้

การเตรียมตำลึง
เลือกแต่ใบตำลึงสด ถ้าใช้ตำลึงตัวผู้โบราณว่าจะได้ผลกว่าใบตำลึงตัวเมีย และต้องล้างให้สะอาด (เพราะตำลึงมักจะมีตัวบุ้งอยู่) ก่อนที่จะนำมาปั่นเป็นครีมหรือคั้นเอาน้ำ

การใช้ตำลึง
ใช้ใบตำลึงสดคั้นเอาแต่น้ำ ชุบสำลีแปะบนหัวสิวสักครู่ ประมาณ ๕-๑๐ นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำบ่อยๆ สิวอักเสบจะหายได้และไม่มีรอยแผลจากหัวสิวด้วย
ใช้ใบตำลึงประมาณ ๑ กำมือ น้ำสะอาด ๒-๓ ช้อนโต๊ะ ปั่นเข้าด้วยกันจนเป็นครีม นำข้าวสาร (ถ้าเป็นข้าวกล้องได้ก็ดี) ๒ ช้อนชาไปแช่น้ำจนนิ่ม นำไปบดให้ละเอียด แล้วนำไปผสมกับครีมตำลึง นำไปพอกหน้าทิ้งไว้จนแห้ง จึงล้างออก จะช่วยกำจัดพิษบนใบหน้า แก้สิว ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น หรือหากไม่สะดวกในการ เตรียมข้าวสาร จะใช้ครีมตำลึงอย่างเดียวก็ได้

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้สมุนไพร
สมุนไพรทุกอย่างอาจมีบางคนที่แพ้ได้ การทดสอบว่าแพ้หรือไม่ให้นำส่วนผสมที่จะใช้ทาที่ท้องแขนก่อน เพราะผิวหนังบริเวณนี้จะเป็นส่วนที่บางกว่าหน้า ทิ้งไว้สักพักหนึ่งถ้าไม่เกิดอาการแสบร้อน มีผื่น ถือว่าไม่แพ้ การใช้สมุนไพรเพื่อที่จะได้ผลต้องมีการใช้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง จึงจะเห็นผล ตำรับต่างๆ ในการใช้สมุนไพรเพื่อความงามส่วนใหญ่เป็นผลไม้หรือผักที่ไม่ได้ตายตัว สามารถที่ปรับได้ ผสมสูตรขึ้นมาใหม่ได้ตามชนิดผลไม้หรือผักที่มีอยู่ ระยะเวลาในการทำหรือพอกก่อนล้างออกนั้นไม่ได้ตายตัว ขึ้นกับสภาพผิวของแต่ละคน คนที่ผิวแพ้ง่ายควรใช้เวลาน้อยกว่า และการใช้ในช่วงแรกไม่ควรพอกหรือทาทิ้งไว้นานๆ โดยเฉพาะตำรับที่มีกรดผลไม้ (ที่มักมีในมะขาม มะนาว สับปะรด) ซึ่งต้องมีการปรับตัวในการใช้ช่วงแรกๆ ต้องใช้ปริมาณน้อยๆ และในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนใช้ เช่น ถ้าใช้มะขามล้างหน้า ในช่วงแรกอาจจะต้องล้างออกทันทีประมาณ ๑ สัปดาห์ ก่อนทาหรือพอกทิ้งไว้ สามารถปรับตามสภาพของผิว เช่น ผิวแห้ง ควรใช้ น้ำนมโยเกิร์ต ไข่แดง  ผิวมัน ใช้น้ำมะนาวหรือน้ำส้ม ไข่ขาว  ส่วนน้ำผึ้งสามารถเติมลงไปได้ทุกสภาพผิว  

ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 339-003
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 339
เดือน/ปี: กรกฎาคม 2007
นักเขียนหมอชาวบ้าน: ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร

·         อ้างอิง
ภกญ.สุภาภรณ์ ปิติพร, สมุนไพรอภัยภูเบศร. พิมพ์ครั้งที่ ๓, กรุงเทพฯ : บริษัทปรมัตถ์การพิมพ์ จำกัด, ๒๕๔๗
·         คมสัน หุตะแพทย์, รศ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล และโอภาส เชฏฐากุล, สวยด้วยวิธีธรรมชาติ. พิมพ์ครั้งที่ ๔, กรุงเทพฯ : บริษัทแอคมี พรินติ้ง จำกัด, ๒๕๔๗.
·          - นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร, ผิวหน้าสดใส. พิมพ์รั้งที่ ๑, กรุงเทพฯ: บริษัทเฮลท์ ออทอริตี้ส์ จำกัด, ๒๕๓๘.
·          -  พรรณวิภา กฤษฎาพงษ์, เอื้อมพร ศรีกฤษณพล, ปลื้มจิตต์ โรจนพันธ์ และ ดวงดาว ฉันทศาสตร์, เทคโนโลยีการพัฒนาตำรับเครื่องสำอาง และการผลิตขั้นอุตสาหกรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ : บริษัท ประชาชน จำกัด, ๒๕๔๐.
·          -  Aldo Facetti, Natural beauty. New York , A Fireside Book. ๑๙๙๐
·          -  ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม, พจนานุกรมสมุนไพรไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๑, กรุงเทพฯ : โอ.เอส. พรินติ้ง เฮ้าส์, ๒๕๓๑.
·          -  ตรีสุคนธ์, สมุนไพรสร้างรอยยิ้ม.พิมพ์ครั้งที่ ๑, กรุงเทพฯ: บริษัท     พิมพ์ดี จำกัด, ๒๕๔๗
·           - เฉลียงลม สำนักพิมพ์, สมุนไพรเพื่อความงาม. พิมพ์ครั้งที่ ๑, กรุงเทพฯ : บริษัทพงษ์วรินการพิมพ์, ๒๕๔๗.
·         จาก  http://www.doctor.or.th/article/detail/1260